Huawei VS Google & Trump สงครามการค้า จีนกับอเมริกา ที่มีผู้บริโภคเป็นตัวประกัน
20190520 - บันทึกไว้ ว่าข่าวเกรียวกราวที่สุดของวันนี้ คือข่าวสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่มาถึงขั้น Google ตัดสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ Huawei ซึ่งได้ข่าวว่าจะลงเอยด้วยการที่ ต่อไปผู้ใช้โทรศัพท์ Huawei จะไม่สามารถใช้แอพลิเคชั่นต่างๆของค่ายกูเกิล และไม่สามารถอัพเดตฟีเจอร์ใหม่ๆของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้
.
สองวันก่อนหน้านี้ หลังจากมีข่าวว่า สหรัฐอเมริกาสั่งแบนมือถือ Huawei ของจีน ดิฉันออกจากบ้านไปซื้อโทรศัพท์ Huawei P30 มาเครื่องหนึ่ง ระหว่างที่รอน้องพนักงานขายเซ็ทอัพเครื่อง ก็คุยกับน้องเขาเพลินๆ ถึงอนาคตธุรกิจของ Huawei และราคาที่น่าจะตกลงฮวบฮาบ จากการกดดันทางการค้าจากอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ
.
น้องคนขายถามว่า พี่ก็รู้ข่าว ทำไมถึงยังรีบซื้อวันนี้ ก็บอกว่า พอดีวันนี้ว่าง และกำลังจะเดินทาง ก็อยากได้มือถือที่ถ่ายรูปได้ดีมากๆกว่าเครื่องเดิมที่ใช้อยู่ ไม่อยากแบกกล้องไป
.
ปัจจุบันดิฉันมีประสบการณ์ใช้โทรศัพท์มือถือ ทั้งที่เคยใช้และกำลังใช้อยู่รวมสี่แบรนด์ ได้แก่ ไอโฟน ซัมซุง วีโว และล่าสุดคือ หัวเว่ย
.
ดิฉันชอบความสร้างสรรค์ของไอโฟน ชื่นชม สตีฟ จ๊อบส์ แต่ในฐานะนักเดินทาง รู้สึกไม่ค่อยสะดวกกับการที่ต้องผูกชีวิตไว้กับอุปกรณ์ตระกูล i ที่ใช้ร่วมกับยี่ห้ออื่นไม่ได้
ดิฉันชอบซัมซุง ใช้สะดวก แต่รู้สึกว่าช่วงหลังๆ ไม่ค่อยมีนวัตกรรมที่สร้างแรงดึงดูดเท่าช่วงต้น
ดิฉันสนุกกับภาพบุคคลสวยใสจาก วีโว แต่พอใช้ไปนานๆรู้สึกรำคาญที่มันสวยลวงตาจนน่าเบื่อ
ส่วน หัวเว่ย ที่เป็นตัวเลือกล่าสุดนั้น ซื้อเพราะคุณภาพกล้องอย่างเดียว ตั้งใจเอามาทำงานแทนกล้องถ่ายรูป ส่วนเทคโนโลยีด้านอื่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนๆ ก็ใช้ไม่เคยเต็มศักยภาพที่โทรศัพท์ทำได้สักที และถ้าเกิดใช้แอพของกูเกิลไม่ได้ขึ้นมาตามข่าวจริงๆ ก็คงมีเดือดร้อนบ้าง แต่ถามว่ากลัวไหม… ก็ไม่กลัว
.
แน่นอนว่า ผลกระทบจากปัญหาจีนกับสหรัฐรอบนี้กระทบถึงผู้บริโภคโดยตรง แต่สำหรับคนที่เกิดมาในยุคที่เราสื่อสารกันด้วยการเขียนจดหมาย มีโอกาสได้ถ่ายภาพอย่างมากปีละครั้งในวันเกิดหรือมีโอกาสพิเศษ โดยพ่อจะพาเราแต่งตัวดีที่สุดไปถ่ายภาพที่ร้านถ่ายภาพมืออาชีพของจังหวัด (ซึ่งเป็นสตูดิโอแบบโบราณ ที่ช่างภาพใช้กล้องใหญ่ ต้องเอาหัวมุดเข้าไปถ่าย) เป็นเด็กในยุคที่วิ่งไปขอใช้โทรศัพท์บ้านใกล้เรือนเคียงเพื่อโทรและรับสายด่วนจากคนที่กรุงเทพฯ เป็นวัยรุ่นที่เคยฝากข้อความถึงแฟนในยุคที่เราต้องบอกเรื่องส่วนตัวของเราผ่านพนักงาน แล้วเขาคีย์ข้อความส่งให้อีกฝ่ายอ่าน ผ่านเครื่องที่เรียกว่าแพคลิงค์หรือเพจเจอร์ เคยแชทกับคนแปลกหน้าผ่านจอคอมพิวเตอร์โปรแกรมไอซีคิว ต้องรอการติดต่อที่ยาวนานและค่าสัญญาณแพงมหาโหด เคยส่งข้อมูลด้วยแผ่นดิสเก็ทที่มีความจุ 1.44 mb เคยทำงาน cg ให้ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ด้วยคอมพิวเตอร์ที่มี Ram 64 mb ซึ่งถือว่าหรูสุดเร็วสุดแล้วในยุคนั้น
.
และแม้ว่า เราจะเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์สายสถาปัตย์ ที่ทำงาน cg visualization ให้โครงการอสังหาริมทรัพย์มาแล้วทุกรูปแบบ แต่ถ้าถึงวันที่โลกไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีกล้อง ไม่มีโปรแกรมสร้างภาพ ฯลฯ เราก็ไม่เคยลืมว่า ครั้งหนึ่งเราก็ผ่านหลักสูตรที่วาดภาพระบายสีได้เหมือนภาพถ่าย ตัดโมเดลด้วยมือได้เนี้ยบ
ยุคที่เราผ่านกันมานั้น เป็นยุคที่ “ยาก” กว่าปัจจุบันเยอะ
.
เราคงไม่มีอะไรให้ต้องกลัวมากนัก
.
ดิฉันดีใจที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ยาวนานพอที่จะได้ใช้สมาร์ทโฟน ได้คุยแบบเห็นหน้าร่ำลากับพ่อในช่วงบั้นปลายของชีวิตพ่อ ผ่านทางโปรแกรมแมสเซนเจอร์ในเฟซบุ๊ค ได้ถ่ายทั้งวิดีโอและภาพนิ่งการพูดคุยของพ่อมากมาย อัพขึ้น cloud storage เพื่อเก็บเอาไว้เปิดดูหน้าพ่อยามคิดถึง เสมือนพ่อยังมีชีวิตอยู่
.
ดิฉันดีใจที่ได้เห็นทุกการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ได้เห็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีต่างๆ ได้เห็นความยิ่งใหญ่แบบที่เรียกว่า “ครองโลก” ได้ของกูเกิล เฟซบุ๊ค ฯลฯ ได้เห็นความน่ากลัวของคำว่า monopoly การผูกขาด ครอบงำ ควบคุม ที่เริ่มต้นมาจากการทำตัวเป็นของฟรี การเข้ามาหาเราด้วยมิตรภาพ ความปรารถนาดี ที่มักลงเอยด้วยการถ่ายโอนสิ่งต่างๆในชีวิตเราไปเป็นทรัพยากรของเขา ถูกควบคุม ถูกสอดส่อง และเราก็ยอมจำนน เพื่อแลกกับความสะดวกสบายน้ัน เพราะของฟรีไม่มีในโลก
.
ดิฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก กับการชนกันครั้งใหญ่ของค่ายมหาอำนาจ ที่ไม่ใช่แค่จะส่งผลให้แตกกระเจิงกันไปข้างหนึ่ง มีบาดแผลยับเยินพอๆกัน แต่ยังเป็นเหมือนบิ๊กแบง ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในโลกของการสื่อสาร กระแทกความเป็น monopoly ของค่ายยักษ์ใหญ่ให้สั่นสะเทือน และจะมีสิ่งใหม่ที่ถูกกดดันให้เกิดขึ้นจากปัญหาและอุปสรรค ซึ่งไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ จะดีขึ้นหรือแย่กว่าของเดิม ก็เป็นสัญญาณดีที่ของการพัฒนา ที่จะช่วยคานอำนาจของฝ่ายเดิมที่ดูเหมือนจะผูกขาดมายาวนาน ซึ่งแม้ผู้บริโภคตัวน้อยๆอย่างเราอาจจะได้รับผลกระทบ หรือความลำบากบ้าง ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่การแข่งขันและพัฒนาเป็นสิ่งดีืื และดิฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกในบทนี้ เพราะเชื่อว่า การทำสงครามการค้า แข่งกันพัฒนาเพื่อชิงความได้เปรียบทางธุรกิจ ยังไงก็น่าจะดีกว่า ทำสงครามเอาระเบิดมาถล่มฆ่าแกงกัน
.
ดิฉันพึมพำในมุมมองของชาวบ้าน แม่บ้านโลว์เทค ไม่ได้เป็นผู้รู้ด้านไอที หรือนักเศรษฐศาสตร์อะไร หากมีใครจะกรุณาช่วยชี้แนะ ในคอมเมนต์ ก็ยินดีค่ะ
#MonsterMom
www.MonsterMom.net
#huawei #google #andriod #Trump #Tradewar