เที่ยว Ras Al Khaimah, UAE
นับเป็นเกียรติอย่างสูง ที่ครอบครัว MonsterMom เป็นคนไทยครอบครัวแรก ที่ได้รับเชิญให้มาเยี่ยมเยือนรัฐราสอัลไคมาห์ ( Ras Al Khaimah ชื่อย่อ RAK ) ประเทศสหรัฐอาหรับอามิเรตส์ (UAE) โดยความสนับสนุนหลักจาก โรงแรม ฮิลตัน ราสอัลไคมาห์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ในเดือนธันวาคม 2562
ชื่อของรัฐ ราสอัลไคมาห์ แม้จะไม่คุ้นหูคนไทย และในอดีตที่ผ่านมา ประเทศในตะวันออกกลางก็ยังไม่ใช่จุดหมายการท่องเที่ยวที่นักเดินทางชาวไทยคุ้นเคย แต่เมื่อได้มาสัมผัสแล้ว ก็จะหลงใหลในเสน่ห์ของดินแดนอาหรับนี้ได้ไม่ยาก เพราะนอกจากจะมีสิ่งใหม่ๆที่สวยงามมากมายให้เราได้ค้นหา ยังมีแง่มุมที่น่าประทับใจเกี่ยวกับผู้คนและวัฒนธรรมของประเทศมุสลิม ให้เราได้เปิดใจเรียนรู้ เปี่ยมด้วยสีสันน่าตื่นตาตื่นใจ และที่สำคัญ เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่มีระดับความปลอดภัยสูงสุดแห่งหนึ่งในโลก
รัฐราสอัลไคมาห์ เป็นหนึ่งในรัฐ (emirate) ทั้งเจ็ดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีประชากรประมาณ 400,000 คน (ข้อมูลปี 2018) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย โดยมีเจ้าผู้ครองรัฐ (Emir) องค์ปัจจุบันคือซาอุด บิน ซัคร์ อัลกอสิมีย์ (Saud bin Saqr Al Qasimi)
.
ก่อนที่จะแนะนำให้รู้จักรัฐราสอัลไคมาห์ ก็ขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ก่อน เพราะบ่อยครั้งที่คนไทยเราเข้าใจว่า ถ้าบอกว่ามา UAE ก็หมายถึงมาดูไบ และบางคนก็เข้าใจว่า ดูไบ คือประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งประเทศ ซึ่งไม่ใช่ (คงเหมือนที่หลายคนคิดว่า กรุงเทพฯคือประเทศไทยนั่นเอง)
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates หรือเรียกย่อๆว่า UAE) เป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ริมอ่าวเปอร์เซีย มีประชากรรวมกันทั้งหมดประมาณ 9.77 ล้านคน แต่ในจำนวนที่ว่านี้ มีคนสัญชาติ UAE อยู่แค่ประมาณ 20% ส่วนที่เหลือเป็นคนต่างชาติ ซึ่งเข้ามาทำงานในประเทศนี้ (ตามข้อมูลของ World Bank ปี 2019) ประกอบด้วยรัฐเจ้าผู้ครองนคร (emirates) 7 รัฐ ได้แก่
อาบูดาบี (Abu Dhabi)
อัจมาน (Ajman)
ดูไบ (Dubai)
ฟูไจราห์ (Fujairah)
ราสอัลไคมาห์ (Ras al-Khaimah)
ชาร์จาห์ (Sharjah)
อุมม์อัลไกไวน์ (Umm al-Quwain)
สมัยก่อน รัฐต่างๆเหล่านี้ก็ปกครองแยกกันเหมือนเป็นคนละประเทศ จนมาถึงช่วงก่อนปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) กลุ่มรัฐดังกล่าวจึงรวมตัวกันเป็นประเทศ
รัฐใหญ่สุดและรวยสุดของ UAE คือ อาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวง มีขนาดพื้นที่เกือบ 80% ของประเทศ ส่วนรัฐที่ทันสมัยสุด เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้า การท่องเที่ยวและการลงทุนคือ ดูไบ ส่วนรัฐราส อัลไคมาห์ ที่เรามาพักนี่จะเป็นแนวเมืองตากอากาศ ซึ่งคนเมืองจากดูไบจะมาพักผ่อนในวันหยุด และนักท่องเที่ยวจากยุโรปจะบินมาพักผ่อนในช่วงฤดูหนาว ความเจริญยังไม่เท่าดูไบ แต่มีเสน่ห์ที่ความสงบ และธรรมชาติริมทะเลที่สวยงาม จึงเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทหรูหลายแห่ง รวมถึง Hilton Ras Alkaimah ที่เรามาพักนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดที่วิวสวยที่สุดของ รัฐราสอัลไคมาห์ เช่นกัน
ชื่อย่อของ Ras Al Khaimah คือ RAK ถ้าเห็นเราพูดถึง RAK ในรีวิวนี้ก็คือ รัฐราสอัลไคมาห์ นั่นเองจ้า
……………………………………………….
การเดินทางมา RAK จากต่างประเทศ
ณ ปัจจุบันนี้ เครื่องบินที่เป็นสายการบินนานาชาติยังไม่มีเที่ยวบินตรงมาที่ RAK ส่วนมากต้องมาลงที่สนามบินดูไบ แล้วนั่งรถต่อมา อีก 1 ชม. หรือถ้าเป็นระดับคนรวยๆ เขาก็จะนั่ง Seaplane ก็คือเครื่องบินเล็กที่จอดบนน้ำได้ และเทียบส่งตรงท่าจอดเครื่องบินน้ำของโรงแรมหรูๆ จากดูไบ อาบูดาบี หรือรัฐอื่นๆ มาที่ RAK และรวมถึงคู่แต่งงานที่มีฐานะก็จะใช้วิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวไปฮันนีมูนข้ามรัฐแบบเก๋ๆ แทนที่จะส่งขึ้นรถแล้วเอากระป๋องผูกท้ายแบบทั่วไป ก็ส่งขึ้นเครื่องบินส่วนตัวแทน คู่บ่าวสาวก็จะโบกมือให้แขกเหรื่อจากเครื่องบินท่ามกลางแบคกราวน์สวยๆ ดูรวยดี ใครสนใจไปจัดวิวาห์เหาะที่นี่ติดต่อได้เลยที่ www3.hilton.com/en/hotels/uae/hilton-ras-al-khaimah-resort-and-spa-RKTRSHI/
ครอบครัวเราเดินทาง RAK มาโดย สายการบินเอมิเรตส์ (www.emirates.com) ทางสายการบินมีบริการทำวีซ่าเข้าประเทศให้ด้วย ค่าบริการคนละประมาณ 100-140 USD คิดค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในตั๋วเครื่องบิน
เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ วันที่ 10 ธ.ค. 62 เวลา 03.30 น. มาลงที่สนามบินดูไบวันที่ 10 ธ.ค. 62 เวลา 07.15 น.
เวลาในประเทศ UAE ช้ากว่าไทย 3 ชั่วโมง
นับเวลาเดินทางก็ประมาณ 7 ชั่วโมง
การเดินทางขามาจาก สุวรรณภูมิ โหลดกระเป๋าได้น้ำหนัก 25 กก.
การเดินทางขากลับจาก ดูไบ โหลดกระเป๋าได้น้ำหนัก 30 กก.
………….
+สัมภาระ
โดยทั่วไป ทุกสายการบินก็จะให้เราโหลดกระเป๋าได้ตามน้ำหนักที่เขาระบุไว้ และหิ้วติดตัวขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ หรือถ้าจะมีแถมใบเล็กใบน้อยเขาก็หยวนๆ แต่ของสายการบินเอมิเรตส์นี้เขาค่อนข้างใจดีและผ่อนปรน เพราะเรามีอุปกรณ์ถ่ายภาพที่โหลดไม่ได้เพราะกลัวเสียหาย ต้องถือกระเป๋าขึ้นเครื่องมากกว่าคนละหนึ่งใบ เขาก็อนุญาต แต่ที่ซีเรียสคือในกระเป๋าต้องไม่เอาของผิดกฎหมายเข้าประเทศเด็ดขาด ซึ่งเขาจะมีลิสต์ไว้ในเว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้องกับเราก็คือ โดรน และยาประจำตัว ในการเอาโดรนเข้าไป ก็ต้องถอดแยก ตัวเครื่องกับแบตเตอรี่ และถ้าจะเอายาเข้าไป ก็ควรมีฉลากกำกับ ที่บอกให้รู้ว่าเป็นยาอะไร คือมีแผง มียี่ห้อ ไม่ใช่ใส่ถุงยาแล้วเขียนฉลากด้วยลายมือแบบร้านหมอตี๋บ้านเรา ถ้าเจอเขาตรวจคิดว่าเป็นยาต้องห้ามก็คือผิดกฎหมาย แต่โดยมากก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไม่ทำอะไรที่พิสดารมากก็ผ่านด้วยดี ส่วนที่บางคนคิดว่า ไปประเทศมุสลิมแล้วเค้าจะห้ามกินหมู เลยเอาหมูหยองหมูแผ่นซ่อนติดตัวใส่กระเป๋าไปกิน อันนี้ห้ามเด็ดขาด และไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีหมูให้กิน เพราะประเทศนี้เขามีคนต่างชาติที่ไม่ใช่มุสลิมอยู่มากมาย จึงมีอาหารหลากหลาย ที่ทำด้วยหมูก็มีเยอะแยะ ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องพกใส่กระเป๋าไปให้เสี่ยงโดนจับ เสียอารมณ์เปล่าๆจ้ะ

สนามบินนานาชาติดูไบ
+ค่าตั๋วไปกลับ
ราคาจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาการจองและโปรโมชั่น ของเราจ่ายคนละประมาณ 26,000 บาท (รวมค่าเลือกที่นั่ง) แต่ของลูกสองคนที่เดินทางตามมาทีหลังได้ค่าตั๋วเครื่องบินถูกกว่านี้เยอะ
ทั้งนี้การเลือกฤดูกาลในการเดินทางมาที่นี่ก็สำคัญมาก ช่วงที่เรามาเป็นไฮซีซัน คือหน้าหนาว เป็นฤดูท่องเที่ยว อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเป็นฤดูร้อน อากาศในประเทศแถบทะเลทรายนี่จะร้อนจนคนรู้สึกทุกข์ทรมาน ออกมาเดินกลางแจ้งไม่ได้เลย ช่วงนั้นจะไม่มีใครมาเที่ยว ค่าตั๋วก็จะถูกมาก
เมื่อลงเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติดูไบแล้ว ต้องนั่งรถต่อมาอีกราว 1 ชั่วโมง เพื่อมาถึง รัฐราสอัลไคมาห์
มีทั้งแท็กซี่และชัทเทิลบัสของสนามบินไว้บริการ
……………………………………………….
โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต
ปกติเวลาเราไปต่างประเทศ ถ้าไม่ไปซื้อ sim card ที่เป็นเบอร์ของประเทศนั้น เราก็จะใช้บริการ sim2Fly ของ AIS แต่บริการนี้ไม่มีครอบคลุมในประเทศ UAE และตรวจสอบราคาจากไทยแล้วการไปซื้อเบอร์ที่โน่นจะแพงกว่าซื้อบริการ Roaming เป็นแพคเกจจากไทย เราจึงซื้อแพคเกจของ AIS ที่ทำให้สามารถใช้เบอร์เดิมโทรและรับสายทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ 100 นาที และอินเตอร์เน็ต
แพคเกจโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตที่ว่านี้คือ: Serenade Asia and Australia Smart max roaming 20 วัน 1790 บาทSelected Network เริ่ม 11/12/2019 13:07:50 – 31/12/2019 13:07:49 (Local Time)
ข้อดีของแพคเกจนี้คือ เราจะสามารถใช้โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเหมือนอยู่ไทย แต่ถ้าไปใช้ซิมของ UAE หรือพึ่งบริการ Free wifi ตามสถานที่ต่างๆ ก็จะไม่สามารถโทรแบบ Video call และ Voice call ผ่านไลน์หรือเฟซบุ๊คแมสเซนเจอร์ได้ เพราะที่ประเทศนี้เขาบล็อกการสื่อสารแบบนั้น ถ้าจะใช้การติดต่อผ่านโซเชียลก็ได้แค่อัพข้อมูลขึ้นไทม์ไลน์ และเขียนคุยกัน หรือส่งเป็นไฟล์เสียงถึงกัน แต่คุยโต้ตอบกัน Real time ผ่านแอปไม่ได้ และถ้าไม่ซื้อแพคเกจมาจากไทยแล้วโทรข้ามประเทศด้วยการ Roaming เฉยๆ ค่าบริการต่อนาทีก็แพงมาก ประมาณ 60-90 บาทต่อนาที
ถ้ามากันสองคน คนนึงซื้อแพคเกจดังกล่าวนี้มา ก็สามารถแชร์สัญญาณด้วย Hot spot ให้อีกคนใช้ด้วยได้ ก็จะสามารถโทรผ่านเฟซบุ๊คผ่านไลน์ได้เหมือนกัน โทรเป็นวิดีโอก็ได้
อันนี้เราซื้อใช้แล้วเห็นว่าสะดวก เลยบอกเล่าให้ทราบ ไม่ได้ค่าโฆษณาจาก AIS นะจ๊ะ
……………………………………………….
การเดินทางในท้องถิ่น ทั้งภายในรัฐและระหว่างรัฐ
เนื่องจากรัฐราสอัลไคมาห์เป็นรัฐที่มีคนอยู่ไม่มาก สถานที่ต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันในระยะเดิน เวลาจะไปไหนมาไหนในท้องถิ่น ก็ต้องใช้รถเป็นหลัก มีทั้งรถบัส และบริการแท็กซี่หรือรถเช่า ถ้าเป็นแท็กซี่ที่เรียกผ่านแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์ ที่นี่เขามีให้เลือก 2 บริษัท คือ Uber กับ Careem แต่ถ้าจะเดินไปเรียกตามริมถนนก็มีแท็กซี่จอดรับเยอะแยะ โบกเอาก็ง่ายๆ เป็นแท็กซี่มิเตอร์เหมือนบ้านเรานี่แหละ ขึ้นไปนั่งปุ๊บ มิเตอร์ก็ทำงานอัตโนมัติ เพราะเขามีเซ็นเซอร์บอกไปที่ตัวรถทันทีว่ามีผู้โดยสารมานั่งแล้ว จึงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะกดมิเตอร์เกินหรือลืมกด ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลเข้มงวดโดยกฎหมายที่เคร่งครัด ตามถนนหนทางและสถานที่ต่างๆมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ทั่วไป แม้แต่เราไปจอดรถตามโรงแรม แล้วลืมตำแหน่ง หารถเราไม่เจอ ก็สามารถไปดูในกล้องวงจรปิดโรงแรมได้ว่า รถเราอยู่ที่ไหน
ถ้าเราลงเครื่องบินที่ ดูไบ จะมาเที่ยว ราสอัลไคมาห์ ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า RAK โดยไม่มีรถโรงแรมมารับ ก็จะต้องใช้บริการแท็กซี่ ราคาค่าบริการประมาณ 100-200 Aed ระยะเวลาเดินทาง 1-1.5 ชั่วโมง แต่ถ้าจะใช้บริการแท็กซี่ขับพาไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ควรโทรจองล่วงหน้า เพราะถ้าระยะทางไกลมากๆ แท็กซี่อาจไม่ค่อยอยากไป ก็คงเหมือนที่ไทยคือ หาผู้โดยสารขากลับยาก เพราะคนที่นี่มีน้อย เบอร์จองแท็กซี่ของที่นี่เป็นบริษัท RTA คือ 04 2 080808
ถ้าใช้แท็กซี่ของ Uber หรือ Careem ที่เรียกผ่านแอพฯได้ ถือว่าหรูกว่าสะดวกกว่าก็จะแพงกว่า ราคาเริ่มต้นก็จะเป็น 200-300 Aed.
ส่วนถ้าจะเดินทางด้วยรถบัสข้ามรัฐ เขาก็ต้องไปขึ้นที่ท่ารถ หากเป็นการเดินทางจากดูไบมา RAK ก็ต้องไปขึ้นรถที่ Union Bus Station ที่ Al Rigga ค่าโดยสารคนละ 25 Aed. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง มีรถออกทุก หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่ แปดโมงเช้าถึงสามทุ่มครึ่ง
คน UAE แนะนำว่า ถ้าจะโดยสารรถบัสจากดูไบมา RAK ให้ใช้ Airport Shuttle Bus จะดีกว่า แต่ต้องไปขึ้น-ลง ที่สนามบินดูไบ รถ Shuttle Bus นี้จะรับคนจากสนามบินมาส่งตามโรงแรมใหญ่ๆ มีบริการจากสนามบินดูไบมาวันละ 6 เที่ยว ระหว่างเวลา 6.30 ถึง 1.00 (ตีหนึ่ง) ในรถมีบริการฟรีไวไฟ แจกน้ำ แจกแผนที่ ค่าบริการคนละ 20 Aed. ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที เร็วกว่ารถบัสทั่วไป เพราะเขาไม่จอดรับส่งคนระหว่างทาง ขับรวดเดียว ระหว่าง สนามบินดูไบ ถึง RAK
https://whatson.ae/…/how-to-get-from-dubai-to-ras-al-khaim…/
+เช่ารถขับเอง
มาที่นี่หารถเช่าไม่ยากและไม่แพงเลย ถ้าจะเช่ารถเอง ต้องใช้ พาสปอร์ต + เครดิตการ์ด + ใบขับขี่สากล ครอบครัวเราเลือกใช้บริการเช่ารถขับเอง โดยสอบถามทางโรงแรม ก็ได้รับคำแนะนำว่ามี 2 ตัวเลือกที่ดีคือ Budget ซึ่งเป็นแบรนด์รถเช่าสากลมีสาขาทั่วโลก กับ Fast Rent A Car ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นขนาดใหญ่ มีสาขาทุกเมืองทั่วทั้ง UAE
นอกจากขับชมแหล่งท่องเที่ยวภายใน RAK แล้ว นักท่องเที่ยวก็จะเดินทางไปเที่ยว ดูไบ ใช้เวลาเดินทางจาก RAK ประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง ถ้าให้เปรียบความเชื่อมโยงระหว่าง ราสอัลไคมาห์ กับ ดูไบ ก็จะคล้ายๆกรุงเทพฯกับหัวหิน คือ ดูไบก็เหมือนกรุงเทพฯ ที่มีความเจริญทางธุรกิจ เทคโนโลยี ความบันเทิงทุกอย่างครบถ้วนแบบมหานครใหญ่ๆ ในขณะที่ ราสอัลไคมาห์ นั้นเป็นเหมือนเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่นอกจากจะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างแดนแล้ว ก็เป็นเมืองพักผ่อนสำหรับคนทำงานในดูไบมาหย่อนใจกับธรรมชาติที่เงียบสงบ ความสะดวกสบายแบบรีสอร์ท คล้ายๆคนกรุงเทพฯไปเที่ยวหัวหินในวันหยุดทำนองนั้นแหละ
ค่าเช่ารถ 5 วัน กับ Budget Car Rental รวมประกันชั้น 1 ประมาณ 500+ Aed. คิดหยาบๆเป็นเงินไทย ( คูณ 10 ไปเลย) ก็ประมาณ 5,000-6,000บาท ไม่รวมค่าน้ำมัน
รถที่นี่เป็นพวงมาลัยซ้าย การจราจรขับชิดขวา คนที่นี่ขับรถเร็วมาก และใจร้อนมาก บนถนนทุกสายมีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกจุดที่เราไป จึงไม่ควรทำผิดกฎจราจรอย่างเด็ดขาด
https://www.rak.ae/…/abo…/ras-al-khaimah/general-information
……………………………………………….
ค่าเงิน / ค่าครองชีพ
- การใช้จ่ายที่นี่ ใช้ สกุลเงินของ UAE มีชื่อว่า Dirham (เขาใช้ตัวย่อ aed ) อัตราแลกเปลี่ยนจากไทยในช่วงวันเดินทาง 1 Dirham แลกเงินไทยได้ 8.25 บาท (ข้อมูล ธ.ค. 2019)
- ถ้าไปตามห้างร้านต่างๆ จะใช้บัตรเครดิตก็ได้ ส่วนที่อ่านเจอในกูเกิลบอกว่า ใช้ US Dollar ก็ได้นั้น ไม่จริง เพราะเวลาไปซื้อของตามร้านเขาไม่รับเงินสกุลอื่น รับแต่เงินเขากับเครดิต
- แม้บัตรเครดิตจะใช้ได้เกือบทุกที่ แต่ก่อนออกเดินทางจากไทยก็ต้องแลกเงิน aed ติดตัวเอาไว้ด้วย เพราะแลกมาจากไทย แค่ 8.25 บาทต่อ 1 aed ถ้ามาแลกที่ UAE จะใช้ 12 บาท ต่อ 1 aed ส่วนเงิน USD อาจใช้ได้บ้างกับธุรกิจท้องถิ่นที่เขาไม่มีใบเสร็จให้เรา เช่น ไปจ่ายค่าเหมารถ ซื้อทัวร์แบบส่วนตัว แต่จริงๆแล้วไม่แนะนำ ควรพกเงิน Dirham เอาไว้หรือใช้บัตรเครดิต เพื่อให้มีหลักฐานในการจับจ่ายจะดีที่สุด
- การมาท่องเที่ยว UAE ถ้าพักที่ รัฐราสอัลไคมาห์ (RAK) ค่าครองชีพจะถูกกว่า ดูไบ กับ อาบูดาบี และได้สัมผัสครบทั้ง Sea -Sand – Sun – Style
เปรียบเทียบค่าครองชีพให้เห็นภาพง่ายๆ ถ้าจ่ายค่าอาหาร (ไม่รวมเครืีองดื่ม) ที่กรุงเทพฯ ราคาจานละ 150 บาท ซื้อที่ RAK จะประมาณ 250 บาท แต่ถ้าซื้อที่ ดูไบ จะต้องจ่ายประมาณ 300-400 บาท อย่างนี้เป็นต้น ส่วนค่าที่พักขึ้นกับฤดูกาล แต่ถ้าเป็นโรงแรมเชนสากล ราคาทั่วโลกจะมีมาตรฐานกลางตามระดับ อาจไม่แตกต่างกันมาก
……….
ภาษาและวัฒนธรรม
ภาษาอังกฤษ – สำหรับนักท่องเที่ยวจากไทย ถ้าใช้ภาษาอังกฤษได้ก็สบายมาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่นี่เป็นคนต่างชาติมาจากทั่วโลก และคนทำงานที่นี่แทบทุกคนจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางระหว่างกัน
สถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และป้ายบอกทางทุกแห่งหนมีภาษาอังกฤษคู่กับภาษาอารบิค
ไม่ต้องกังวลเลยว่าถ้าไปเจอกับคนพื้นถิ่นที่เป็นชาว UAE แท้ๆแล้วจะพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง เพราะสัดส่วนประชากรคนท้องถิ่นมีน้อยกว่าคนต่างชาติหลายเท่า และคนพื้นถิ่นเขาไม่มาสุงสิงปะปนกับคนต่างชาติหรือนักท่องเที่ยวเลย เว้นแต่ถ้ามีการทำธุรกิจร่วมกัน เขาก็จะส่งคนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาสื่อสารกับเรา
ส่วนการปฏิบัติตัวโดยทั่วไปก็สามารถใช้มาตรฐานวัฒนธรรมสากลได้ ถ้ารู้จักการวางตัวเป็นสุภาพชน ไม่ส่งเสียงดัง ไม่แซงคิว ไม่ละเมิดสิทธิ์ ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม มีมารยาท และให้เกียรติผู้อื่น ก็อยู่ที่นี่ได้สบายๆ เหมือนทุกประเทศในโลกนี้
……..
แหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรม
รัฐราสอัลไคมาห์ (RAK) เป็นรัฐขนาดเล็กๆที่ยังๆไม่เฟื่องฟูเท่าดูไบหรืออาบูดาบี แต่เป็นรัฐที่คนดูไบและคนต่างชาติ ทั้งนักท่องเที่ยวและคนทำงาน มาเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด เพราะรัฐนี้มีครบทั้งหาดทรายชายทะเล ภูเขา ทะเลทราย แสงแดดสดใส และไลฟ์สไตล์ที่ครบถ้วนตั้งแต่แนวอาหรับท้องถิ่น เมืองโบราณ ไปจนถึงสีสันชีวิตเมืองทันสมัยไฮเทคที่พบได้ตามห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และถ้าคนจากราสอัลไคมาห์ต้องการสัมผัสความเป็นมหานครทันสมัยแบบสุดๆ ก็ขับรถเพียงชั่วโมงเศษๆไปเที่ยวดูไบ จะไปแบบเช้าเย็นกลับหรือไปค้างสักคืนสองคืนก็ตามอัธยาศัย เหมือนขับรถจากบางแสนไปกรุงเทพฯ คนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปที่รู้จัก รัฐราสอัลไคมาห์ จึงมักเลือกพักผ่อนตากอากาศที่นี่ แล้ววันไหนอยากเข้าเมืองก็ค่อยขับรถเข้าดูไบ เพราะบรรยากาศสงบกว่า คนน้อยกว่า และค่าครองชีพ ค่าที่พัก ค่ากิน จะถูกกว่าดูไบมาก หรือถ้าจะไปเที่ยวเมืองหลวงของ UAE คือ อาบูดาบี ก็ขับรถไปจาก RAK ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ แต่ถ้าไป อาบูดาบี แบบเช้าเย็นกลับอาจจะเหนื่อยขับรถและเที่ยวไม่ทั่ว อาจจะต้องพักค้างสักคืนหรือสองคืนกำลังเหมาะ โดยจองตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆทางออนไลน์ไว้ให้พร้อม ไปถึงจะได้ไม่พลาดเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่สำคัญที่อยากไปชม เพราะคนจะเยอะ ไปซื้อตั๋วตรงทางเข้าอาจไม่มีตั๋วตามเวลารอบที่เราต้องการ
ถ้ามีเวลามาเที่ยว RAK ประมาณ 1 สัปดาห์ แหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่แนะนำให้ออกไปลองสัมผัส นอกเหนือจากการพักสบายๆชมวิวสวยๆทำกิจกรรมต่างๆรีสอร์ทสักวันสองวันแล้ว ได้แก่
+ In the City
ออกไปชมบรรยากาศตัวเมือง ถนนคนเดินเลียบชายทะเล เดินห้าง ชมมัสยิดประจำเมืองซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน

Al Qawasim Corniche เป็นถนนคนเดินเลียบริมทะเล ที่เป็นจุดพักผ่อนและชมวิวของคนเมืองและนักท่องเที่ยว เป็นย่านที่คึกคัก มีร้านอาหารเครื่องดื่มและความบันเทิง เป็นศูนย์กลางเมืองที่มีสีสันในช่วงเย็นๆ ไนท์ไลฟ์ และวันหยุด Photo Credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Al Rams Corniche ถนนคนเดินเลียบริมฝั่งทะเล บรรยากาศสงบ เป็นจุดที่รัฐบาลเขาทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ อันนี้เป็นจุดที่เพิ่งสร้าง คนจะน้อยกว่าAl Qawasim Corniche ซึ่งสร้างมาก่อน Photo Credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Manar Mall เป็นห้างใหม่ที่ใหญ่สุดใน RAK มีทุกสิ่งคล้ายๆห้างในเมืองไทย แบรนด์ร้านค้าต่างๆแทบจะเหมือนกัน มีซูเปอร์มาร์เก็ตคือคาร์ฟู
……………………..
+ Historical & Cultural Venues
สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม

Al Jazirah Al Hamra, the last authentic and traditional town still standing in the United Arab Emirates. Once a small island, its inhabitants subsisted on maritime and pearl trading before they abandoned their houses in the middle of the 20th century, when the rush to modernized started. An undisturbed picture of life before the discovery of oil was left behind and preserved until today. This is a unique area for Ras Al Khaimah and the whole country. Al Jazirah Al Hamra shows all elements of a traditional town, including a fortress for defence purposes, a small market, several mosques and a variety of houses types. These range from simple buildings to ornate houses with courtyards which belonged to rich pearl merchants. Al Jazirah Al Hamra is one of the best places to study traditional coral-stone architecture, used along the coast of the UAE.
photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

With a backdrop of steep mountains, the bay of Dhayah has always been a very fertile area and has been settled in at least since the third millennium BC.A conical shaped hill at the edge of the palm gardens and at the foot of the mountains, served as a natural defense post for the oasis. People have used this hill since prehistoric times for settlement and fortification alike.
Today it is crowned by a fortress, built during the 19th century on the foundations of much older structures. It is the only hilltop fort still existing in the UAE and offers a fantastic view of the lush palm gardens, the sea and the dramatic mountains.
Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Sheikh-Zayed-Mosque Photo Credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Archaeological excavation and restoration work finally came to an end on the Mohammad Bin Salem Mosque.
Excavations revealed the presence of an earlier mosque, dating back to the second half of the 18th century (date as indicated by preliminary analysis of the finds) Historical records indicate a mosque was at this place since the 16th century, but earlier version/s could not be found owing to the confined test trenches. With respect to the later 18th century mosque, excavations revealed that it was destroyed during the British occupation in 1819/20 and that a new mosque was built on its foundations. It has undergone several renovations and expansion phases up to the present day. During the renovation work, modern additions were removed from the inside and outside and the original architecture, built from coral stone and beach rock, restored and provided with an outer layer of traditional plaster in layer technique.
Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

The National Museum of Ras Al Khaimah is located In the western part of Ras Al Khaimah city in a fort that was the residence of the ruling family until the early 1960s. The National Museum houses a collection of archaeological and ethnological artifacts. The Qawasim Room on the first floor contains documents, manuscripts and treaties between the rulers of Ras Al Khaimah and the UK Government, as well as some traditional weapons belonging to the ruling family. The museum’s exhibits feature discoveries from the earliest settlers to the late Islamic period. Traditional life in Ras al-Khaimah is the highlight of the Ethnographical display. Visitors will learn about architecture, pearl diving, date agriculture, farming and fishing in the various galleries.
Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/
……………………………………
+ Ocean – Beaches – Fish market – Yatch club – Pearl Farm
ทะเล – ชายหาด – ตลาดปลา – มารีนา ยอทช์คลับ – ฟาร์มหอยมุก

Al Rams Beach – Considered one of the purest beaches in UAE, Al Rams beach offers a great backdrop for your Instagram shots. You can lay down on the sand and have a great view of the Hajar mountain behind you. Also, you can enjoy the walking track if you want to experience a unique sunset.

Flamingo Beach – might not have the longest beachfront; however, Flamingo beach is great for families because of its location. It is surrounded by trendy cafes and restaurants and it is serviced with a large parking lot for the ease of access. Just a few minutes drive away from the city centre.

Ras Al Khaimah Beach – Close to the city, this beach offers its visitors a unique experience of privacy and fun at the same time. It is close to the Kuwaiti souq and surrounded by traditional cafes for a unique cultural experience.

Al Mairid – Newly renovated, Al Mairid beach is the go-to destination for visitors and residents of Ras Al Khaimah city. Its white sand and wooden cabanas make it a great place for family picnics.

Al Mairid Fish Market – The oldest fish market in Ras Al Khaimah! ………..Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Ras Al Khaimah Fish Market – The biggest fish market in Ras Al Khaimah. ………..Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Al Hamra Marina Yacht Club – Sailing has traditionally been an integral part of Ras Al Khaimah’s culture. Due to the favorable weather and water conditions, the emirate has been a destination of choice for sailors to practice their skills at sea. The Royal Yacht Club of Ras Al Khaimah, under the Patronage of HH Sheik Saud Bin Saqr Al Qasimi Ruler of Ras Al Khaimah, is a members club for sailing, yachting and water sports enthusiasts. ………..Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

The Suwaidi Pearls Farm – established in 2005 by prominent Emirati Abdulla Al Suwaidi, and is the first farm of its kind in the Gulf region. The farm cultivates the Pinctada Radiata, otherwise known as the Gulf pearl oyster, using locally sourced mollusks that live in the natural creek in Al Rams.
Abdulla Al Suwaidi’s Family, Al Suwaidi’s is intrinsically linked to the history of pearling era in the Gulf, dating back to 12th and 13th centuries, and belonging to the Julfar dynasty, Ras Al Khaimah, UAE. The family background traces back to life in the Gulf region that has been entwined with the jewel of the ocean for over 7000 years. His ancestors carried on with pearling for generations leading finally to the 20th century with his grandfather Mohammed Bin Abdulla Al-Suwaidi as being one of the last remaining pearl divers of the Al Suwaidi legacy………..
Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/
……………………………………
+ Arabian Desert Experiences
สัมผัสวิถีชีวิตในทะเลทราย Dune Bashing ขี่อูฐ ชมระบำหน้าท้อง และระบำไฟ มนต์เสน่ห์แห่งอาหรับราตรี
มาตะวันออกกลางทั้งที เราก็อยากไปเที่ยวทะเลทราย ก็เลยจองทัวร์แบบ One day trip ใช้เวลาตั้งแต่ประมาณบ่ายสอง ไปจนถึงสองทุ่ม เริ่มจากมีรถจากบริษัทมารับที่โรงแรม ขับพาเราไปส่งที่ท่ารถ Dune Bashing คือรถจี๊ปที่ขับพาตะลุยทะเลทรายไปยังแคมป์ที่จัดกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งมีอยู่หลายแคมป์ของบริษัทต่างๆ กลางทะเลทราย
กิจกรรมของทัวร์ ประกอบด้วย การนั่งรถ Dune Bashing ไป-กลับจากแคมป์ ขี่อูฐ อาหารเครื่องดื่ม ชิชา เฮนน่า ดูโชว์ระบำหน้าท้อง ระบำพื้นเมือง และระบำไฟ จบรายการประมาณ 2 ทุ่ม ก็นั่ง Dune Bashing จากแคมป์กลับมาขึ้นรถไปส่งเราที่โรงแรม
ทัวร์นี้ครึ่งวัน จ่ายเริ่มต้นประมาณ 120-250 aed. ต่อคน ถ้าเทียบกับค่าครองชีพโดยรวมของประเทศนี้แล้วถือว่าถูก เพราะเป็นแนวบ้านๆ ไม่หรูหรา แต่ก็ได้ประสบการณ์พอสมควรในเวลาที่กำลังดีคือราวครึ่งวัน จากบ่ายถึงสองทุ่ม
ที่บอกว่าจ่ายเริ่มต้น เพราะเมื่อรถ Dune Bashing พาเราไปในทะเลทราย แม้ค่ากินดื่ม ค่ากิจกรรม และค่าดูโชว์ที่เป็นพื้นฐานจะถูกรวมไว้กับค่ารถแล้ว พอไปถึงแคมป์ก็จะมีคนมาเสนอนั่นนี่ให้มากมาย ด้วยท่าทางเหมือนเอามาให้เป็นบริการฟรี เช่น เอานกเหยี่ยวทะเลทรายมาให้เกาะแขนถ่ายภาพ เอาผ้ามาคลุมผมให้ดูเหมือนชาวอาหรับ เอาของที่ระลึกมายัดใส่มือ หรือเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาวางให้ถึงโต๊ะ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้จะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด ราคาก็ไม่อาจบอกได้ว่า ถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับความสบายใจ เช่น ถ้าเรานั่งดูระบำหน้าท้องเพลินๆ ในบรรยากาศอาหรับราตรี การจ่ายเงินซื้อเบียร์ที่ราคาแพงกว่าปกติสัก 3 เท่าด้วยความพอใจของเราเอง ก็ไม่ได้ถือว่าหนักหนาอะไร
แต่ถ้าเขาเอาอะไรมาเสนอขายแล้วเราไม่อยากได้ ก็ส่ายหน้าแล้วบอกเขาชัดๆไปเลยว่า ไม่เอา เขาอาจจะตื้อให้รำคาญหน่อย แต่ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องกลัวหรือเกรงใจ เพราะถึงหน้าตาเขาจะคมๆดุๆ แต่เขาไม่ใช่คนร้ายหรือคดโกง
การทำธุรกิจแคมป์ท่องเที่ยวในทะเลทรายนี้ คนไม่เคยมาอาจกลัว แต่จริงๆแล้วไม่ต้องกลัวเลย เพราะทุกแคมป์เป็นธุรกิจที่อยู่ในความควบคุมอันเข้มงวดของรัฐบาล เขาจะมีคนมาตรวจมาตรฐานตลอดว่า บริการดีไหม สะอาดไหม ห้องน้ำมีพอจำนวนนักท่องเที่ยวหรือเปล่า สร้างปัญหาให้นักท่องเที่ยวไหม ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า ฯลฯ
ถ้าแคมป์ไหนไม่ผ่านการตรวจคุณภาพก็จะถูกสั่งปิดทันที เพียงแต่ในการเลือกตั้งแคมป์ที่จะมานั้น อาจดีมากน้อยต่างกันตามราคา และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเราสามารถหาอ่านจากรีวิวในเว็บก่อนซื้อทัวร์ หรือยอมจ่ายแพงหน่อยแล้วซื้อทัวร์ผ่านโรงแรมก็ได้ เพื่อความสบายใจ
……………..
+ Mountains
ขับรถเที่ยวขึ้นไปบนเทือกเขาสูง เดินท่องธรรมชาติขุนเขากลางทะเลทราย

Jebel Jais is definitely the UAE’s tallest mountain and is every bit as exciting as a tall mountain should be. Rugged, at times wind -swept, valleys with sweeping views…and absolute isolation. Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/

Jebel Jais is definitely the UAE’s tallest mountain and is every bit as exciting as a tall mountain should be. Rugged, at times wind -swept, valleys with sweeping views…and absolute isolation. Photo credit: https://visitrasalkhaimah.com/
ATTRACTIONS= https://visitrasalkhaimah.com/discover/attractions/
ACTIVITIES– https://visitrasalkhaimah.com/discover/activities/
……..
โรงแรมที่พัก
www3.hilton.com/en/hotels/uae/hilton-ras-al-khaimah-resort-and-spa-RKTRSHI/
……..
อาหาร
UAE เป็นประเทศมุสลิมก็จริง แต่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนี้เป็นคนต่างชาติจากทั่วโลก มีหลากหลายเชื้อชาติศาสนา ประกอบกับเป็นประเทศที่เจริญ จึงมีร้านอาหารมากมายให้เลือกจากทุกชนชาติ อยากกินอะไรก็มีให้กินทั้งนั้น ขอแค่มีเงิน
ส่วนใน Ras Al Khaimah นั้น เป็นเมืองท่องเที่ยว นอกจากจากจะมีอาหารอร่อยทุกสัญชาติให้เลือกแล้ว ถ้าพักในโรงแรมก็ไม่ต้องกลัวว่าอาหารโรงแรมจะน่าเบื่อ เพราะโรงแรมที่นี่เขามีระบบที่เรียกว่า All-Inclusive และ Soft-Inclusiveให้เลือก
.
อาหารอร่อยที่เด่นๆของที่นี่ประกอบด้วย
+ อาหารตะวันออกกลาง
+ อาหารอินเดีย
+ อาหารตะวันตก และ อาหารฟิวชั่น
.
All Inclusive แปลว่า แขกที่มาพักสามารถจองห้องพักรวมรายการอาหาร เครื่องดื่ม และบริการต่างๆในโรงแรมได้เลยแบบเหมาจ่าย ส่วน Soft-Inclusive ก็จะเป็นห้องพักกับอาหาร ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งโรงแรมที่มีแพคเกจแบบนี้จะมีร้านอาหารในโรงแรมให้หลายร้าน และมีร้านใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางสำหรับเสิร์ฟอาหารเช้า เที่ยง และเย็นในลักษณะบุฟเฟ่ต์ สำหรับแขกที่ซื้อพคเกจห้องพักรวมอาหาร และเพื่อไม่ให้แขกที่มาพักหลายวันเบื่อ เขาก็จะเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายแตกต่างกันในแต่ละวัน
.
และไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กินหมู หรือกินอาหารนานาชาติ เพราะในรายการอาหารบุฟเฟ่ต์ เขาก็จะมีทั้งอาหารตะวันตก อาหารตะวันออกกลาง อาหารจีน เรื่อยไปจนถึงซีฟู้ด ขนมอร่อยๆก็มีให้เลือกครบครัน และถ้าจะไปกินร้านอื่นๆในโรงแรมที่ไม่ใช่บุฟเฟต์ ก็สามารถเอาเครดิตที่เป็นวงเงินจากแพคเกจไปใช้ได้ และถ้ากินเกินวงเงินก็ค่อยจ่ายเพิ่มตามราคาจริงที่เกินมา เช่น เขาอาจจะมีเครดิตค่าอาหารต่อคนให้ มื้อละ 70 aed ถ้าเราไปกินอาหารร้านอื่นในโรงแรมแล้วค่าอาหารเป็น 100 aed เราก็จ่ายเงินเพิ่มอีก 30 aed
.
สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศมุสลิม จะมีจำหน่ายเฉพาะสถานที่ซึ่งมีใบอนุญาต ในโรงแรมเขามีแพคเกจ all inclusive แบบรวมทั้งที่พัก อาหาร และเครื่องดื่มทุกประเภท ให้คนชอบดื่ม สั่งอะไรมาดื่มกินก็ได้ตลอดเช้าจรดค่ำ ตราบใดที่ไม่เมามายสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
.
https://visitrasalkhaimah.com/discover/food-drinks/
…….
ช้อปปิ้ง / ของฝาก
การมาเที่ยว UAE โดยเฉพาะ ราสอัลไคมาห์ แล้วไม่มีของพื้นเมืองติดไม้ติดมือเป็นของฝากนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะประเทศนี้เขาไม่ค่อยมีอุตสาหกรรมการผลิตหรืองานหัตถกรรมฝีมือคนท้องถิ่นอะไร เกือบทุกอย่างเป็นผลงานคนต่างชาติ บ้างก็นำเข้าจากประเทศใกล้เคียง บ้างก็มาจากจีน และอีกหลายๆแหล่งทั่วโลกรวมถึงจากประเทศไทย แถมค่าใช้จ่ายก็แพงกว่าเรา
แต่ถ้าอยากซื้อสินค้าแนวอารบิคติดไม้ติดมือไป ของน่าซื้อก็คือพวกถั่ว อินทผลัมสอดไส้ปรุงรสยี่ห้อดีๆ ผ้าพันคอ ผ้าคลุม เครื่องหอม น้ำหอม รวมถึงเครื่องประดับที่ทำด้วยทอง ของเขาจะดีไซน์ดีกว่าบ้านเราเยอะ ใส่แล้วดูไม่เชย อาจจะเป็นของฝากที่ราคาสูงสักหน่อยแต่ถ้าดูคุณภาพแล้วไม่นับว่าแพง ของฝากอย่างหนึ่งที่มีในราสอัลไคมาห์คือไข่มุก เพราะที่นี่เขามีฟาร์มหอยมุก
สิ่งที่น่าซื้อ ถึงจะไม่ใช่เป็น OTOP ห้าดาว ของ ราสอังไคมาห์ แต่เป็นสิ่งที่สื่อสารความเป็นอาหรับได้ดีคือ น้ำหอม ซื้อไปก็ไม่ผิดหวัง น้ำหอมยี่ห้อแปลกๆ กลิ่นแปลกๆ ที่นี่มีเยอะ ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับแบรนด์ดัง มีให้เลือกหลากหลาย ถ้ารสนิยมดี เลือกเก่ง ก็จะได้กลิ่นหอมจรุงใจ และมีเอกลักษณ์ต่างจากแบรนด์ดังในท้องตลาดทั่วไป ในราคาไม่แพง คือประมาณ 50% ของน้ำหอมแบรนด์เนม มาในขวดรูปทรงสวยแปลกตา ดีไซน์แบบอาหรับ

ซื้อน้ำหอมสไตล์อาหรับกลับมาลองใช้ดู คนขายเป็นหนุ่มสาวโมร็อคโค หน้าตาคมเข้มสะสวย
แต่สำหรับคนชอบช้อปปิ้ง โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนม ไม่สนใจว่าจะเป็นของผลิตที่ไหนอย่างไร ที่ UAE จะมีช่วงเวลาลดกระหน่ำ SALE สุดๆ ถึง 70% เริ่มตั้งแต่ปลายธันวาคมไปจนถึงเดือนมีนา ก็จะได้ของถูกมากๆ บางอย่างไม่ต้องเสียภาษี ต้องระวังแค่เวลาหิ้วกลับไทยนี่แหละ ที่อาจโดนเรียกเก็บภาษีขาเข้ากันหน้าซีดถ้าหอบมาเยอะเกินไป
………
การแต่งกาย
ประเทศ UAE มี 2 ฤดูคือ ฤดูร้อนและฤดูหนาว หน้าหนาวเป็นฤดูท่องเที่ยว อากาศประมาณ 10-25 องศาเซสเซียส คนยุโรปอาจรู้สึกว่าอบอุ่น แต่คนไทยเราจะรู้สึกเย็นควรพกเสื้อหนาวมาด้วย
รัฐราสอัลไคมาห์ และดูไบ (รวมถึง อาบูดาบี และ อีกหลายๆรัฐใน UAE) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของตะวันออกกลาง และการท่องเที่ยว ที่มีผู้คนจากทั่วโลกมาทำธุรกิจ และมาท่องเที่ยว แม้จะเป็นประเทศมุสลิมที่ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีกฎหมายที่เคร่งครัด แต่ก็มีความเปิดกว้างทางวัฒนธรรม ในย่านท่องเที่ยว หรือย่านธุรกิจการค้า ก็จะเห็นผู้คนแต่งตัวกันแบบสบายๆ ทั้งชายหญิง แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของสุภาพชน ส่วนในโรงแรมตากอากาศนั้น ก็วางตัวได้สบายๆ เหมือนแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ชุดว่ายน้ำ กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม อะไรก็ใส่ได้ปกติ เพียงแต่ดูแลไม่ให้ดูโป๊น่าเกลียดก็พอ
วันศุกร์เป็นวันหยุดของ UAE วันสุดสัปดาห์ที่เป็นทางการของประเทศนี้คือ วันศุกร์กับวันเสาร์ วันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสเป็นวันทำงาน ถ้าจองตั๋วเครืีองบิน ค่าเครื่องบินเย็นวันพฤหัสจะแพงกว่าวันอื่นๆ
ในวันศุกร์ถ้าออกไปเดินห้าง หรือไปตามแหล่งท่องเที่ยว จะเจอผู้คนมากมายออกมาเที่ยวช้อปปิ้ง บรรยากาศคึกคัก มีคนท้องถิ่นแต่งชุดประจำชาติเดินให้เห็นทั่วไป และคนต่างชาติที่มาทำงานในประเทศนี้ก็ออกมาพักผ่อนกันเยอะ มีผู้คนหลากหลายชาติมาทำงานในประเทศนี้ เช่น อินเดีย ฟิลิปปืนส์ ปากิสถาน และ เนปาล ส่วนนักท่องเที่ยวหลักๆ ก็เป็นชาวยุโรป เช่น ชาวรัสเซีย เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส กลุ่มนี้จะเป็นส่วนใหญ่ และชาวเอเชียก็มี เช่น จีน อินเดีย และเวียดนาม
สถานที่ต่างๆเปิดให้คนเข้าได้ทุกชาติทุกภาษา แต่ถ้าจะเข้าในสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ทางศาสนา ต้องแต่งตัวสุภาพตามมาตรฐานของเขา แม้จะไม่มีใครมาจับเพราะแต่งตัวผิดระเบียบ ก็พึงกระทำ เพื่อให้เกียรติวัฒนธรรมของเขา
ฤดูหนาวของ UAE เป็นช่วงเวลาที่อากาศเย็นสบาย แดดแจ่ม ฟ้าสดใส ที่ Ras Al Khaimah ทะเลสีสวยมาก คนชอบถ่ายภาพจะต้องหลงรักที่นี่
คนรักแฟชั่น อย่าลืมขนพร็อพมาเยอะๆ จัดให้เต็มไปเลยหัวจรดเท้า ชุดว่ายน้ำก็ใส่ได้ เพราะในโรงแรมถือเป็นสถานที่ภายใน ที่ผู้คนมาพักผ่อน จะควงคู่กันมาถ่ายพรีเวดดิ้ง หรือมาจัดงานแต่งที่นี่ก็เริด
สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ ครีมกันแดด การแต่งหน้าแบบฟูลออพชั่นที่นี่ถึงจะแต่งชุดเรียบง่ายแค่ไหน ก็ไม่มีใครถามว่า ป้าจะแต่งหน้าจัดไปไหน เพราะสาวๆมุสลิมที่นี่แต่งหน้าแน่นทุกคน ขนตางอนยาวน่าอิจฉา ตาสวยคมกริบกันทั้งนั้น การไปไหนมาไหนด้วยหน้าสด ถ้าไม่มั่นจริง อาจจะโดนคนถามว่า ป่วยหรือเปล่า
การทาครีมกันแดดเบอร์ที่ไว้ใจได้แล้วรองพื้นทับ เป็นเรื่องปกติถ้าไม่ได้กะจะมาทำผิวแทนด้วยแดดทะเลทราย ผ้าคลุมหน้านั้นมีประโยชน์ นอกจากทำให้ดูสุภาพเรียบร้อย ยังใช้กันแดดกันลมและพันคอเวลาหนาวๆได้ 🙂
……………………………
ข้อควรระวังในการมาเที่ยว UAE
- เนื่องจากเป็นประเทศที่มีกฎหมายเคร่งครัด และมีบทลงโทษที่รุนแรง สิ่งที่ควรระวังที่สุดในการมาที่นี่คือ ต้องไม่ละเมิดกฎหมายของเขาโดยเด็ดขาด คนที่นี่ ไม่ว่าจะมีสถานะสูง หรือร่ำรวยแค่ไหน ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะต้องถูกดำเนินคดี ไม่มีอภิสิทธิ์ชน แม้แต่คนสำคัญในประเทศจะเดินทางไปไหนก็ไม่มีการปิดถนน ถ้าจะใช้บริการใดก็ต้องเข้าคิวเหมือนกันหมด เว้นแต่จะมีระบุเงื่อนไขพิเศษอื่นใดที่มีไว้ระเบียบ จึงจะมีโอกาสแตกต่างได้ ทุกแห่งหนมีกล้องวงจรปิด มีระบบจดจำใบหน้าตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และข้อมูลนี้จะออนไลน์ไปทั่วประเทศ ถ้าคนทำผิดไปโผล่ที่ไหนแล้วกล้องเจอใบหน้าคนนั้น ก็ถูกจับทันที สถิติอาชญากรรมที่นี่จึงแทบจะเป็นศูนย์ ไม่ว่าค่ำมืดดึกดื่นแค่ไหน อยากจะออกมาเดินเล่นทำอะไรก็ไม่ต้องกลัว เพราะไม่ค่อบมีใครกล้าเสี่ยงทำผิดกฎหมาย เวลาไปไหนมาไหนตอนค่ำๆ ขับรถผ่านที่ว่างตามทะเลทรายจึงมีโอกาสเห็นผู้คนจอดรถตั้งวงปิคนิคกันเป็นหย่อมๆ นั่นคือ เขาออกมาสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ทำนองเดียวกับที่คนประเทศอื่นออกมานั่งปิคนิคในสวนสาธารณะ แต่ที่นี่มันแห้งแล้ง ไม่มีต้นไม้ เขาจึงต้องออกมานั่งกลางแจ้งชมแสงเดือนแสงดาวยามค่ำคืน เพราะกลางวันมันร้อน
- การแต่งกายที่สุภาพเหมาะสม – นอกจากจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมมุสลิมที่ทั้งชายและหญิงควรแต่งกายให้สุภาพมิดชิด แต่ถ้าเราไม่ใช่หญิงมุสลิม ก็แต่งกายได้ปกติ แต่อย่าโป๊ และถ้าไปตามสถานที่สำคัญก็ต้องอ่านกฎระเบียบให้ดี ว่า ต้องแต่งกายอย่างไร หรือมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างยังไง ระหว่างชายหญิง และคนต่างศาสนา แต่ด้วยความที่อากาศมีทั้งแดดจัดในเวลากลางวัน และหนาวเย็นในเวลากลางคืน การจะออกมาท่องเที่ยวก็ต้องเตรียมเสื้อผ้ามาให้เหมาะกับสภาพอากาศ เพื่อรักษาสุขภาพ
- การขับรถ ระวังแยกและวงเวียนอันตราย – คนที่มาจากประเทศไทย ชินกับการขับรถพวงมาลัยขวา จับชิดซ้าย นอกจากจะต้องปรับให้ชินกับรถพวงมาลัยซ้ายขับชิดขวาแล้ว ยังต้องมีสติมากๆ ในการขับรถ แม้จะมี ระบบนำทางในโทรศัพท์ช่วย แต่ถนนหนทางเขาจะมีจุดเลี้ยวเบี่ยงซ้ายขวาที่ค่อนข้างกระชั้นชิดและวงเวียนจำนวนมาก สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยจะรู้สึกว่าขับยาก ป้ายชื่อถนนเขาเราก็ไม่คุ้น ถึงจะมีป้ายภาษาอังกฤษบอกตลอดทางก็ยังมีโอกาสหลง หรือขับพลาดได้ง่าย และเสี่ยงอุบัติเหตุ ถ้าจะขับรถที่นี่จึงต้องมีความชำนาญ และมีไหวพริบพอสมควร ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตราย เพราะรถที่นี่เขาขับกันเร็วมาก
- สำหรับนักท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยอะไรต่างๆที่นี่ ใช้บัตรเครดิตจะสะดวกสุด คืน vat ง่าย ใช้แค่พาสปอร์ต พอตอนจะกลับก็ไปแสกนข้อมูล เค้าจะมีระบบที่ Tracking การใช้จ่ายของเราทั้งหมดตั้งแต่เข้าประเทศมาเลย ว่าเรากินใช้อะไรไปกี่บาท แล้วพอมาถึงสนามบิน ข้อมูลว่าเราได้ภาษีคืนเท่าไหร่ก็จะแสดงออกมา และคืนให้ผ่านบัตรเครดิตเลย สะดวกมาก ที่นี่แทบไม่จำเป็นต้องพกเงิน ซื้อของไม่กี่บาทก็รูดบัตรได้หมด แม้แต่จ่ายค่าจอดรถ เวลาไปสนามบิน ก็แค่รับบัตรจอดรถมา พอจะกลับก็เอาบัตรไปแสกน แล้วเสียบบัตรเครดิต เครื่องก็จะตัดเงินจากบัตรเอง ไม่ต้องใช้คนทำงานเลย จ่ายเสร็จก็เอาบัตรไปแสกนตรงทางออก ถ้าในระบบระบุว่าเราจ่ายค่าจอดแล้ว ไม้กั้นก็จะเปิดให้ออกอัตโนมัติ
- ประชาชนเชื้อสาย UAE เขามีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากคนไทย ถ้าเราไปเจอเขาทำอะไรที่ผิดไปจากความคาดหวังหรือความคุ้นเคยของเรา ก็อย่าไปแสดงอารมณ์หรือไปมีเรื่องมีราวกับเขาเด็ดขาด เพราะกฎหมายของประเทศนี้ปกป้องประโยชน์ของประชาชนของเขามากที่สุด
เอาเป็นว่า ถ้าโดนคน UAE ด่าหรือชกหน้า คนต่างชาติห้ามทำร้ายเขากลับโดยเด็ดขาด สิ่งที่ต้องทำคือวิ่งหนีไปแจ้งตำรวจหรือรปภ.ให้ระงับเหตุ เพราะถ้าคนต่างถิ่นมีเหตุทะเลาะวิวาทในประเทศนี้ หรือไปทำร้ายคนเจ้าของประเทศ การลงโทษขั้นต้นคือติดคุกสถานเดียว ส่วนการขับรถผิดกฎจราจร หรือการละเมิดกฎอะไรอื่นๆ ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนของเขา ส่วนใหญ่จะลงโทษด้วยการจ่ายค่าปรับก้อนโต
คนประเทศนี้เขาได้รับสิทธิ์และสวัสดิการจากรัฐเยอะมาก คนที่ถือสัญชาติ UAE เขาไม่ต้องทำงานหนัก หรือบางคนก็ไม่ต้องทำงานเลย และมีคนงานจากต่างชาติมาเป็นผู้ให้บริการ ถ้าขับรถไปไหนแล้วขับช้า หรือเข้าคิวอะไรที่เราไปทำให้เขาเสียเวลา เขาจะโกรธมาก เพราะเขาไม่คุ้นกับการที่ต้องอดทนรอคอยเหมือนคนในประเทศเรา หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งจะไปตำหนิติเตียนเขาก็ไม่ได้ เพราะบ้านเมืองเขาวัฒนธรรมเขาเป็นแบบนั้น เราเป็นผู้มาเยือนก็ต้องเปิดใจยอมรับ และปรับตัวตามสมควร ข้อดีของคนที่นี่คือเขาไม่ทุจริตคดโกง เป็นคนที่รักษาเกียรติยศมาก
……………………………………………….
พักแค่นี้ก่อน / เดี๋ยวมีเวลาจะมาเขียนต่อ
#UAE #RasAlKhaimah #ราสอัสไคมาห์ #HiltonRasAlKhaimahResortAndSpa #Hilton #ฮิลตัน #สหรัฐอาหรับอามิเรตส์
#rasalkhaimah #hiltonrasalkhaimahresortandspa #pohahontas #disney #photooftheday #fashion #travelingram #travel #traveler #instatraveler #traveling #traveltheworld #vacation #tourist #tourism #trip #instatrip #place2be #nature #visitrasalkhaimah #besthotel #myrakresort #myrakday
@badbitchbkk 📸